All posts by Yolanda Craig

ไม่ไว้หน้า‘ไบเดน’!! บริษัทเทคต่างชาติแห่ร่วมงานนิทรรศการแสดงสินค้าที่เซี่ยงไฮ้

บริษัทอเมริกันกว่า 200 แห่ง ซึ่งรวมถึงกิจการด้านเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำด้วย ท้าทายนโยบาย “หย่าร้างตัดขาด” จากจีนของคณะผู้บริหารโจ ไบเดน ด้วยการนำสินค้าของพวกเขาไปร่วมแสดงใน งานนิทรรศการ ครั้งใหญ่ของแดนมังกร

บริษัทเทคต่างชาติทั้งหลาย ไล่ตั้งแต่ เอเอ็มดี (AMD) ไปจนถึง ไซส์ (Zeiss) พากันนำสินค้าของพวกตนมาจัดแสดงที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมแห่งชาติ (National Exhibition and Convention Center) ในมหานครเซี่ยงไฮ้ ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา โดยมุ่งโปรโมตส่งเสริมธุรกิจในจีนซึ่งต่อสู้ได้มาด้วยความลำบากของพวกเขา ในขณะที่นักการเมืองบางคนบางฝ่ายเที่ยวหาทางที่จะทำลาย

นิทรรศการสินค้าระหว่างประเทศที่นำเข้าสู่จีน (China International Import Exhibition หรือ CIIE) จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยปีนี้ซึ่งเป็นครั้งที่ 5 แล้ว มีขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 10 พฤศจิกายนก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา และปรากฏว่ามีผู้ไปร่วมแสดงผลิตภัณฑ์หลายร้อยรายจากประเทศ ดินแดน และก็องค์การระหว่างประเทศ รวม 145 แห่ง

ในจำนวนนี้ก็รวมถึงบริษัทอเมริกันเกือบๆ 200 แห่ง ทั้งนี้จากการเปิดเผยของ เคร็ก แอลเลน (Craig Allen) ประธานสภาธุรกิจสหรัฐฯ-จีน (US-China Business Council) บริษัทอเมริกันเหล่านี้ หลายๆ รายเป็นพวกบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น เอเอ็มดี, อินเทล (Intel), เคแอลเอ (KLA), แลม รีเสิร์ช (Lam Research), เทกซัส อินสตรูเมนต์ส (Texas Instruments), และ ควอลคอมม์ (Qualcomm)

ในระหว่าง งานนิทรรศการ เทกซัส อินสตรูเมนต์ส

ประกาศแผนการที่จะเพิ่มศักยภาพในด้านการประกอบชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์และการทดสอบผลิตภัณฑ์ของตนเองในจีน ขึ้นไปเป็นกว่า 2 เท่าตัว รวมถึงจะอัปเกรดพวกสิ่งปลูกสร้างทางด้านโลจิสติกส์ในแดนมังกรของบริษัทอีกด้วย ขณะที่ตัวนิทรรศการของ เทกซัส อินสตรูเมนต์ส ในงาน CIIE คราวนี้ มีทั้งพวกเทคโนโลยีแอนะล็อก และเทคโนโลยีประมวลผลที่แฝงฝังอยู่ในผลิตภัณฑ์ ซึ่งใช้อยู่ในด้านพลังงานหมุนเวียน, ยานยนต์ไฟฟ้า, และหุ่นยนต์

พวกบริษัทเทคชั้นนำจากประเทศอื่นๆ ก็มาจัดนิทรรศการอย่างโดดเด่น โดยมีทั้ง แคนนอน (Canon), เอปสัน (Epson), โอลิมปัส (Olympus), พานาโซนิก (Panasonic), และ เรเนซัส (Renesas) จากประเทศญี่ปุ่น ซัมซุง จากเกาหลีใต้ และ เอเอสเอ็มแอล (ASML), โนเกีย, ซีเมนส์ (Siemens), และ ไซส์ จากยุโรป

ทางด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ มีมาจากทั้ง โตโยต้า, ฮอนด้า, นิสสัน, ยามาฮา มอเตอร์, ฮุนได, ออดี้, เมอร์ซิเดส-เบนซ์, และ จีเอ็ม ซึ่งนำเอา รถยนต์คาดิลแลคที่เป็นรถไฟฟ้ามาโชว์ ส่วน ออมรอน (Omron) ผู้ชำนาญการพิเศษเรื่องระบบอัตโนมัติในโรงงาน เสนอ หุ่นยนต์ที่สามารถเล่นปิงปองได้ของบริษัท

แมกซิมิเลียน เฟิร์สต์ (Maximilian Foerst) ซีอีโอของ ไซส์ บริษัทเลนซ์และออปโตอิเล็กทรอนิกส์ชื่อดังจากเยอรมนี บอกกับสื่อมวลชนว่า “เราคาดเอาไว้แล้วถึงการที่จีนจะมีการปรากฏตัวในระดับโลกที่แข็งแกร่ง เพราะอุปสงค์และแนวโน้มต่างๆ ของเศรษฐกิจจีนและสังคมจีน ซึ่งก็เหมาะเจาะสอดคล้องเข้ากับสมรรถนะต่างๆ ของบริษทของเรา”

เขาเรียก จีน ว่าเป็น “บ้านแห่งที่สองของ ไซส์” นิทรรศการของบริษัทในงานนี้มีทั้งเรื่องเทคโนโลยีทางด้านเลนส์และสายตา, ออปโตอิเล็กทรอนิกส์, เทคโนโลยีด้านการแพทย์, อุตสาหกรรม, และเซมิคอนดักเตอร์

เมื่อเดือนตุลาคมก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา ไซส์ ประกาศเป้าหมายที่จะสร้างสถานที่ดำเนินงานวิจัยและพัฒนา ตลอดจนโรงงานผลิตแห่งใหม่ขึ้นมาในอุทยานอุตสาหกรรมซูโจว ทางภาคตะวันออกของจีน ขณะที่ธุรกิจของ ไซส์ ในจีนนั้น รวมไปถึงการร่วมพัฒนาระบบอิมเมจจิ้งสำหรับผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายยักษ์สัญชาติจีนอย่าง วีโว่

ฮิเดกิ โอซาวะ (Hideki Ozawa) ประธานของบริษัท แคนนอน (จีน) บอกว่า แวดวงต่างๆ ที่เป็นธุรกิจเกี่ยวข้องกับ (เทคโนโลยี มิกซ์ เรียลลิตี้) ของ แคนนอน ในจีน กำลังขยายตัวออกไปอย่างสม่ำเสมอ สามารถที่จะกล่าวได้ว่ามันไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียง B2B (Business-to-Business) และ B2C (Business-to-Consumer) เท่านั้น แต่ว่ายังกำลังขยายตัวไปในทุกๆ ด้านเลย

“ทั้งผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และบริการเป็นจำนวนมากที่เราพัฒนาขึ้นมาในญี่ปุ่น เวลานี้กำลังขยายตัวไปได้อย่างต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นๆ เรื่อยๆ สู่ประเทศจีน ทำให้มัน “กลายเป็นจีน” ขึ้นมา ทำการพัฒนาต่อไปอีก และทำให้บรรลุผลลัพธ์ในตลาดจีน”

แคนนอนยังจัดส่งพวกอุปกรณ์เครื่องพิมพ์ lithography ให้แก่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และอุตสาหกรรมจอแสดงผลแบบจอแบนของจีนอีกด้วย ทั้งนี้ จอ LCD กว่าครึ่งหนึ่งของโลก สร้างขึ้นในประเทศจีน ที่เหลือซึ่งก็รวมถึงพวกจอแสดงผล OLED ที่สลับซับซ้อนกว่า ผลิตในเกาหลีใต้, ประเทศญี่ปุ่น, และไต้หวัน สื่อในจีนรายงานว่า บริษัท แคนนอน ออปติคอล อินดัสเตรียล อีควิปเมนต์ (เซี่ยงไฮ้) (Canon Optical Industrial Equipment (Shanghai) กำลังว่าจ้างวิศวกรเพิ่มเติม เพื่อตอบสนองอุปสงค์ในเครื่องจักรอุปกรณ์ lithography ของบริษัที่กำลังเพิ่มสูง

นี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกา

และหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งกำลังขับดันนโยบายของวอชิงตัน ให้มีการ “การหย่าร้างแยกขาด” (decoupling) จากจีน ต้องการที่จะได้ยินอย่างแน่นอน

สำหรับพวกที่ปรารถนาจะหยุดยั้งไม่ให้จีนมีการเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีต่อไปตามเส้นทางของพวกเขาด้วยแล้ว นี่คือข้อมูลที่ฟังดูเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก กล่าวตือ งาน CIIE ปีนี้มีเขตพื้นที่แสดงนิทรรศการพิเศษทางด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence Special Exhibition Zone) โดยที่ผู้เข้าร่วมแสดงนิทรรสการ มีทั้ง ไมโครซอฟท์, เมตา (เฟสบุ๊ก), อินเทล, และบริษัทอื่นๆ จำนวนมาก โดยมีการโชว์พวกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ คลาวด์ คอมพิวติ้ง (cloud computing), อัลกอริธมิก โมเดลลิ่ง (algorithmic modeling), และการบริหารจัดการข้อมูล

ยิ่งกว่านั้น อินวิเดีย (NVIDIA) ซึ่งตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในแคลิฟอร์เนีย ยังนำเอา กราฟฟิกส์ โปรเซสเซอร์ (graphics processor) ขนาดเล็กลงมา ที่ใช้ชื่อว่า A800 ซึ่งมุ่งให้ใช้กับพวกแอปพลิเคชั่นปัญญาประดิษฐ์ในตลาดจีนเป็นการเฉพาะ มาแสดงในงานนี้ ตามคำแถลงของบริษัท ระบุว่า โปรเซสเซอร์ตัวนี้ “สามารถผ่านการทดสอบของรัฐบาลสหรัฐฯในเรื่องการควบคุมเพื่อลดการส่งออก และไม่สามารถที่จะโปรแกรมเพื่อขยายความสามารถของมัน”

ทัศนคติเชิงบวกของพวกบริษัทต่างชาติที่มีต่ออนาคตด้านเทคของจีนแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นดนตรีไพเราะเสนาะหูสำหรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ในคำปราศรัยกล่าวเปิด งานนิทรรศการ 2022 นี้ของเขา ซึ่งใช้ชื่อหัวข้อว่า “ทำงานด้วยกันเพื่ออนาคตอันสดใสของการเปิดกว้างและความเจริญรุ่งเรือง” (Working Together for a Bright Future of Openness and Prosperity)

สี กล่าวว่า “การเปิดกว้างคือพลังขับดันระดับกุญแจสำคัญอย่างหนึ่ง ที่อยู่เบื้องหลังความก้าวหน้าของอารยธรรมต่างๆ ของมนุษย์ และเป็นเส้นทางอันแท้จริงในการมุ่งสู่ความเจริญรุ่งเรืองและการพัฒนาของโลก …

“จีนจะทำงานกับทุกๆ ประเทศ และทุกๆ ฝ่ายในการแบ่งปันโอกาสต่างๆ ในตลาดที่ใหญ่โตกว้างขวางของตน เราจะเพิ่มความพยายามในการบ่มเพาะตลาดภายในประเทศที่มีความแข็งแรง, ยกระดับการค้าสินค้า, พัฒนากลไกใหม่ๆ สำหรับการค้าบริการ, และนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น เราจะจัดตั้งเขตพื้นที่นำร่องสำหรับความร่วมมือกันในเรื่องพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เส้นทางสายไหม (Silk Road e-commerce) และสร้างเขตพื้นที่สาธิตระดับชาติขึ้นมาสำหรับการพัฒนาการค้าบริการที่มีนวัตกรรม เพื่อที่จะกระตุ้นส่งเสริมนวัตกรรมในการค้า และส่งเสริมสนับสนุนความร่วมมือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางที่มีคุณภาพสูง”

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เส้นทางสายไหม และความร่วมมือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางที่มีคุณภาพสูงกับประเทศต่างๆ เกือบๆ 150 ประเทศ –นี่ก็เช่นกัน เป็นเรื่องที่คณะบริหารไบเดนไม่ต้องการจะได้ยินหรอก

ผู้นำจีนกล่าวต่อไปว่า: “เราจะมีปฏิสัมพันธ์อย่างเต็มที่และอย่างลึกซึ้ง กับการเจรจาต่างๆ เพื่อการปฏิรูป WTO (World Trade Organization องค์การการค้าโลก), ส่งเสริมสนับสนุนการเปิดเสรีและการอำนวยความสะดวกให้แก่การค้าและการลงทุน, และเพิ่มพูนการร่วมมือประสานงานด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาคระดับระหว่างประเทศ ด้วยทัศนะที่ต้องการเข้าร่วมการบ่มเพาะพลังขับดันใหม่ๆ เพื่อการเติบโตขยายตัวของทั่วโลก เราจะใช้ความพยายามอย่างกระตือรือร้นเพื่อเข้าร่วมใน ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกที่ครอบคลุมและก้าวหน้า (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership หรือ CPTPP) และ ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy Partnership Agreement หรือ DEPA) เพื่อขยายเครือข่ายที่มุ่งขยายตัวไปทั่วโลกของบรรดาเขตการค้าเสรีมาตรฐานสูง”

ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในนโยบายเศรษฐกิจจนถึงระดับรากฐานแล้ว

ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จีนจะได้รับการยอมรับให้เข้าร่วม CPTPP ถึงแม้ว่าเป็นสหรัฐฯต่างหากซึ่งปฏิเสธไม่เข้าร่วมความตกลงเขตการค้าเสรีแห่งนี้ ไม่ใช่จีน ขณะที่ทิศทางอนาคตของ DEPA นั้นยังไม่มีความชัดเจน ความตกลงนี้ก่อตั้งขึ้นโดย ชิลี, นิวซีแลนด์, และสิงคโปร์ เมื่อปี 2020 โดยที่ เกาหลีใต้ และ จีน ขอเข้าร่วมตั้งแต่ปีที่แล้ว

สี ไม่ได้กล่าวถึง ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership หรือ RCEP) ซึ่ง จีน เป็นชาติสมาชิกผู้ก่อตั้งรายหนึ่ง แต่เขาย่อมต้องนึกถึงอยู่แล้ว RCEP ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2022 เป็นต้นมา มีจุดมุ่งหมายที่จะลดทอนการจัดเก็บภาษีศุลกากรระหว่างชาติสมาชิกอย่างเป็นกอบเป็นกำ และทำให้กฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุนมีความเรียบง่ายมากขึ้น

ในบทความชิ้นหนึ่งซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่โดย สถาบันกิจการระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan Institute of International Affairs) ในเดือนสิงหาคม 2022 ที่ผ่านมา คาซูชิ ชิมิสุ (Kazushi Shimizu) ศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยคิวชู (Kyushu University) เขียนเอาไว้ดังนี้:

“RCEP จะให้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวงแก่เอเชียตะวันออก ผลประโยชน์ประการแรกเลยของ RCEP คือการกระตุ้นส่งเสริมการค้าสินค้าและการค้าบริการ ตลอดจนการลงทุนทั่วทั้งเอเชียตะวันออก ดังนั้นจึงสร้างคุณูปการให้แก่การพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของภูมิภาคนี้ ประการที่สอง ความตกลงนี้จะสร้างคุณูปการให้แก่การจัดทำกฎระเบียบใหม่ๆ และมีความละเอียดซับซ้อนยิ่งขึ้น ประการที่สาม ความตกลงนี้จะอำนวยความสะดวกให้แก่การก่อตั้งเครือข่ายการผลิต หรือห่วงโซ่อุปทานในเอเชียตะวันออก ประการที่สี่ RCEP จะช่วยลดช่วงห่างทางเศรษฐกิจระหว่างพวกประเทศที่ก้าวหน้ากับพวกประเทศกำลังพัฒนาภายในภูมิภาคนี้”

ในเวลานี้ RCEP มีผู้ร่วมลงนามรวม 15 ราย ซึ่งก็คือถึงพวกประเทศประชาธิปไตยในเอเชีย-แปซิฟิกทั้งหมด สหรัฐฯไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าเป็นสมาชิกได้ แต่กระทั่งถ้าหากว่ามีคุณสมบัติ คณะบริหารชุดปัจจุบันของ ไบเดน ก็คงจะไม่ลงนามในความตกลงที่จะเปิดตลาดอย่างกว้างขวางให้แก่จีนและพวกผู้ส่งออกเอเชียรายอื่นๆ

ทั้งหมดเหล่านี้ช่างตรงกันข้ามกับเรื่องเล่ามุ่งต่อต้านจีนที่พูดกันแพร่หลายอยู่ในวอชิงตัน เรื่องเล่าพวกนี้มองการรับตำแหน่งเป็นวาระที่สามของ สี และการใช้มาตรการควบคุมจำกัด “โควิดต้องเป็นศูนย์” อย่างต่อเนื่องต่อไป ว่าเป็นสัญญาณของการหันไปมุ่งสนใจแต่กับภายใน และถอยห่างออกจากการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจที่มุ่งเปิดตลาดให้กว้างยิ่งขึ้น ถ้าหาก CIIE เป็นสิ่งที่สามารถให้ข้อมูลข่าวสารอะไรได้แล้ว มันก็บ่งบอกให้เห็นว่า แนวโน้มในโลกแห่งความเป็นจริง กำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้าม

ชาร์ลส์ มิเชล (Charles Michel) ประธานของคณะมนตรียุโรป (European Council ที่ประชุมของบรรดาผู้นำรัฐและผู้นำรัฐบาลของชาติสมาชิกสหภาพยุโรป) พยายามที่จะสร้างความเสียหายให้แก่บรรยากาศของ งานนิทรรศการ 2565 แสดงสินค้าคราวนี้ ด้วยวิดีโออัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ซึ่งมีเนื้อหามุ่งเรียกร้องให้ลดทอนการที่ต้องพึ่งพาการค้ากับจีน “มากเกินไป” เวลาเดียวกันก็วิพากษ์วิจารณ์จุดยืนของปักกิ่งในเรื่องสงครามในยูเครน

ตามรายงานของสื่อหลายราย มิเชล ต้องการที่จะพูดว่า “จีนมีบทบาทที่จะต้องใช้อิทธิพลของตนเพื่อหยุดยั้งสงครามที่ป่าเถื่อนโหดร้ายของรัสเซีย … โดยผ่านสิ่งที่คุณเรียกขานว่า เป็นความเป็นหุ้นส่วนกับรัสเซียชนิด “ไม่มีขีดจำกัด” คุณ ประเทศจีน สามารถช่วยทำให้เรื่องนี้ยุติลงได้”

อย่างไรก็ตาม วิดีโอของเขาถูกตัดทิ้งไปจากการดำเนินกิจกรรมของนิทรรศการครั้งนี้ โดยพวกนักการทูตบอกกับสื่อว่า ฝ่ายจีนต้องการที่จะเซนเซอร์คำปราศรัยนี้ แต่มีรายงานว่าทางอียูเลือกที่จะไม่นำมันออกมาเผยแพร่

“โรนัลโด” ลั่น พร้อมประกาศแขวนสตั๊ด 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้ามี 1 เรื่องสำคัญเกิดขึ้น

วันที่ 18 เดือนพฤศจิกายน 65 คริสเตียโน โรนัลโด กองหน้าของ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศชัด พร้อมแขวนสตั๊ดแน่นอน แม้ตัวเองสามารถพา ทีมชาติโปรตุเกส คว้าแชมป์บอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ได้สำเร็จ

เมื่อถูก เพียร์ซ มอร์แกน ถามคำถามว่าจะเลิกเล่นบอลไหม แม้ โปรตุเกส คว้าแชมป์บอลโลก โรนัลโด ตอบว่า “ใช่ เลิกเล่นแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์”

“ผมมองโลกในแง่ดีว่าเรามีโค้ชที่ยอดเยี่ยม และ เรามีนักเตะช่วงรุ่นอายุของนักเตะที่ดี ผมตั้งตารอว่าเราจะไปให้ถึง มันจะเป็นเรื่องยาก แต่ทุกอย่างเป็นไปได้ แน่นอนว่าเราพร้อมที่จะชิงชัย”

สำหรับ ทีมชาติโปรตุเกส ลงเล่นเกมอุ่นเครื่องเมื่อคืนนี้วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ไล่ถล่มเอาชนะ ไนจีเรีย ไป 4-0 โดยที่ไม่มี โรนัลโด ลงสนามเพราะเหตุว่าเจ็บป่วย

โรนัลโด ชื่นชม “เมสซี่” เปรยๆอาจแขวนสตั๊ดแม้พา “โปรตุเกส” คว้าแชมป์โลก

บทสัมภาษณ์พาร์ทสองที่น่าดึงดูด คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มีการพูดถึงคู่อริตลอดกาล อย่าง ลิโอเนล เมสซี ที่ขับเคี่ยวกันมาตลอดในเรื่องของการบรรลุผล กับความยิ่งใหญ่ ใน ช่วงปัจจุบัน โดยเจ้าตัวกล่าวชื่นชมซูเปอร์สตาร์ชาวอาร์เจนไตน์เป็นเพื่อนร่วมสังเวียน และ คู่แข่งที่ยอดเยี่ยม ยิ่งกว่านั้นยังเปรยๆว่าแม้เขาพา โปรตุเกส ได้แชมป์โลก อาจตัดสินใจแขวนสตั๊ดทันที

ผู้ครอบครอง ฉายาซีอาร์เซเว่น พูดถึง ลิโอเนล เมสซี ว่า “เขา (เมสซี) เป็นนักเตะที่น่าทึ่งมากๆ เขาเหมือนเป็นนักมายากลที่เก่งกาจ เรามีช่วงเวลาในสนามร่วมกันมาอย่างยาวนาน 16 ปีเต็ม ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่เป็นไปในทิศทางที่ดี” โรนัลโด้ เริ่มกล่าวถึง เมสซี

“ถึงเราอาจจะไม่ใช่เพื่อนซี้ หรือเพื่อนที่อยู่ระแวกบ้านใกล้ๆกัน หรือ คอยโทรหากันอะไรแบบนั้น แต่เขาก็เป็นเหมือนเพื่อนร่วมทีมของผมเลย”

“เขาเป็นบุคคลที่ผมให้ความเคารพตลอดเวลาที่ได้ยินเขาพูดถึงผม เรียกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งที่ทำสิ่งมหัศจรรย์ในโลกของฟุตบอลก็แล้วกัน” หัวหอกชาวโปรตุกีส ทิ้งท้าย

ยิ่งกว่านั้นเจ้าตัวยังออกมาเปรยว่าแม้สามารถพาทีมชาติโปรตุเกส คว้าแชมป์โลกมาครอบครองได้ เขาอาจตกลงใจแขวนสตั๊ดทันที “ผมเชื่อว่าตอนนี้ตัวเองยังสามารถยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง สามารถช่วยทีมได้ ผมยังมีดีพอที่จะช่วยทีมชาติ และ สโมสรของผม แต่แน่นอนผมมักจะเจอกับคำวิจารณ์เรื่องอายุที่ตอนนี้ 37 ปีแล้ว จริงๆผมอยากจะขอให้ไปดูเพื่อนร่วมรุ่นของผมในบรรดาคนที่รุ่นเดียวกันยังมีคนที่รักษาสภาพร่างกาย และ ยืนระยะได้เหมือนผมไหม”

“ผมคิดว่าโปรตุเกสตอนนี้มีเฮดโค้ชที่ยอดเยี่ยม มีผู้เล่นดาวรุ่งที่ฝีเท้าดี ผมตั้งตารอที่จะได้ลงเล่นในฟุตบอลโลกอีกครั้ง ผมพร้อมจะรีไทร์ทันทีหากพาโปรตุเกสคว้าแชมป์โลกได้ในครั้งนี้”

“ใจจริงผมอยากเล่นอีก 2-3 ปี อยากเลิกเล่นตอนอายุ 40 ผมคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดี แต่ผมก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ทุกๆแผนการย่อมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เราไม่มีทางรู้จนกว่ามันจะเกิดขึ้น”

ช่วงเวลาเดียวกันศูนย์หน้าวัย 37 ปี ยังสารภาพว่าการออกมาให้สัมภาษณ์อะไรแบบนี้อาจก่อให้เหตุการณ์ระหว่างเขากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องสั่นคลอน แต่ขอมุ่งสมาธิไปที่ ฟุตบอลโลก 2022 ซะก่อนแล้วค่อยว่ากัน

“ผมอยากจะมุ่งสมาธิไปที่ฟุตบอลโลก ไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างหลังจบฟุตบอลโลก แต่อย่างที่ผมได้พูดไปแฟนๆคือสิ่งที่อยู่ในใจของผมเสมอ และ ผมก็หวังว่าเขาจะอยู่เคียงข้างผมไม่ว่าผมจะได้กลับไปอยู่กับทีมหรือไม่” ยอดดาวยิงชาวโปรตุกีส ทิ้งท้าย

โรนัลโด้ วืดเล่นบอลโลก!โค้ช โปรตุเกส ลั่นเป็นไปได้

โรนัลโด้ มีชื่อติดทีมชาติ โปรตุเกส ชุดออกศึก ฟุตบอลโลก ซึ่งจะเป็นครั้งที่ห้าแล้วสำหรับดาวยิงทีม แมนฯ ยูไนเต็ด และ น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขาเช่นเดียวกันเมื่อพิจารณาจากอายุที่มากยิ่งขึ้น

กระนั้นดีแล้ว จากลักษณะของการป่วยท้องเสียกระทั่งทำให้พลาดฝึก และ ชวดลงเล่นเกมอุ่นเกือกกับ ไนจีเรีย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 เดือนพฤศจิกายนยังเป็นที่เช้าใจกันว่าหัวหอกวัย 37 ปีจะฟิตร่างกายลงเล่นเกมแรกกับ กาน่า ในวันพฤหัสบดีที่ 24 เดือนพฤศจิกายนได้อย่างไม่เป็นปัญหา

แต่กรณีของ ซีอาร์เซเว่น ซานโต้ส ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อว่าไม่สำคัญที่เขาจึงควรส่ง โรนัลโด้ ลงสนามเพราะไม่มีผู้ใดควบคุมตัดสินใจเลือกทีมของเขาได้โดยเขาจะพิจารณาจากฟอร์มการเล่นเป็นสำคัญซึ่งซีซั่นนี้ จอมบุก ผีแดง ส่งผลงานที่ตกลงไปโดยยิงได้แค่สามประตูในทุกรายการ

“ผมจะถูกบังคับหรือเปล่า? ไม่มีใครบังคับผมให้ทำอะไรทั้งนั้น” ซานโต้ส เผยถึงข้อถามที่มีต่อดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของชาติ 117 ประตู

“มันเป็นคำถามที่คุณสามารถถามได้ แต่มันขึ้นอยู่กับว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สมควรได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงหรือเปล่า?”

“มันเป็นกฏเกณฑ์สำหรับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ นักเตะทุกคนในทีมชาติ โปรตุเกส”

“หากเฮดโค้ชถูกบังคับให้ส่งใครลงเล่นเป็น 11 คนแรก มันก็ไม่ใช่เรื่องแล้ว”

ทำไมเหตุขีปนาวุธตกในโปแลนด์จึงเป็นเรื่องใหญ่

เพราะอะไรเหตุอาวุธตกใน โปแลนด์ จึงเป็นเรื่องใหญ่ เวทีการทูตระหว่างชาติกำลังอยู่ในความยุ่งเหยิงข้างหลังมีอาวุธตกลงในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในโปแลนด์ที่ใกล้กับอณาเขตยูเครน ทำให้มีผู้ตาย 2 คน

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นภายหลังจากรัสเซียกระหน่ำยิงอาวุธโจมตียูเครนระลอกใหม่ทั้งประเทศเมื่อ 15 พฤศจิกายน เพียงแค่ไม่กี่วันหลังจากถอนทหารออกจากเมืองแคร์ซอน

ในช่วงเวลานี้หลายฝ่าย โดยเฉพาะสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ต่างรีบสืบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เนื่องด้วยโปแลนด์เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรทางด้านการทหารนี้

อย่างไรก็ดี วันนี้ (17 พฤศจิกายน) เลขาธิการหน่วยงานนาโตให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุกระจายเสียงบีบีซีว่า อาวุธที่ตกในโปแลนด์ ทำให้มีผู้ตาย 2 คน คงจะมาจากฝั่งยูเครน

“มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานของยูเครน” เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต กล่าวกับสถานีวิทยุกระจายเสียงบีบีซี พร้อมเสริมว่า กำลังดำเนินงานสอบสวนถึงเหตุดังที่กล่าวมาข้างต้นที่เกิดขึ้นใกล้กับอณาเขตยูเครน

แต่เขาย้ำว่า รัสเซียเป็นฝ่ายไม่ถูกแล้วก็จะต้องรับผิดชอบต่อการรุกรานยูเครน ที่นำมาสู่สถานการณ์นี้

ด้านรัฐบาลยูเครนยืนกรานว่า อาวุธดังที่กล่าวมาข้างต้นเป็นของกองทัพรัสเซีย

“ผมเชื่อมั่นว่า นั่นไม่ใช่ขีปนาวุธของเรา” ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ประกาศสำหรับการปราศรัยถ่ายทอดสดผ่านทีวี “ผมเชื่อว่านั่นเป็นอาวุธรัสเซีย ตามรายงานทางกองทัพของเรา”

ผู้นำยูเครนยังชี้ว่า ยูเครนควรได้รับอนุญาตให้ร่วมในการสืบสวนถึงเหตุโจมตีที่เกิดขึ้นห่าง 6 กม. จากอณาเขตยูเครน

เกิดอะไรขึ้น?

อาวุธดังที่กล่าวมาข้างต้นตกใส่หมู่บ้านเพรโวโดฟ ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของโปแลนด์ ซึ่งอยู่ห่างจากอณาเขตยูเครนโดยประมาณ 6 ก.ม. เมื่อตอนเช้าวันที่ 15 พฤศจิกายน ก่อนหน้านี้ ทำให้คนงานชาวโปแลนด์สถานที่สำหรับทำงานในฟาร์มที่อาวุธตกใส่เสียชีวิต 2 คน

ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่โปแลนด์กล่าวว่า อาวุธดังที่กล่าวมาข้างต้นเป็นประเภทที่ผลิตในรัสเซีย แม้กระนั้น รัสเซียไม่ยอมรับข้อกล่าวหานี้อย่างสิ้นเชิง โดยกระทรวงกลาโหมรัสเซียกล่าวว่าข้อกล่าวหานี้เป็น “การตั้งใจยั่วยุให้สถานการณ์ไม่สู้ดีขึ้น”

นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียกล่าวว่ายังไม่มีข้อมูลเรื่องนี้ ในช่วงเวลาที่ Ria Novosti สำนักข่าวของทางการรัสเซียชี้ว่าอาวุธดังที่กล่าวมาข้างต้นเป็นของยูเครน

นายดมิโทร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครนกล่าวว่า ข้อกล่าวหาว่ายูเครนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดคราวนี้เป็น “แนวความคิดสมคบคิด” ของรัสเซีย แล้วก็คนที่ขยายข้อความนี้กำลังเผยแพร่ “โฆษณาชวนเชื่อของรัสเซีย”

ในช่วงเวลาที่ประธานาธิบดีอันเดรจ ดูดา ของโปแลนด์ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่าปัจจุบันนี้ยังไม่รู้กระจ่างว่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แล้วก็กลุ่มสอบสวนกำลังรีบประเมินความน่าจะเป็นทั้งหมด

“ขณะนี้เรายังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าใครคือผู้ยิงขีปนาวุธลูกนี้…มีความเป็นไปได้สูงว่ามันคือขีปนาวุธที่ผลิตขึ้นโดยรัสเซีย แต่เรื่องนี้ยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน” เขากล่าว

อย่างไรก็แล้วแต่ เขาระบุในเวลาถัดมาว่า “มีความน่าจะเป็นมาก” ว่าอาวุธดังที่กล่าวมาข้างต้นมาจากระบบคุ้มภัยทางอากาศของยูเครน

ภาพที่เผยแพร่ทางออนไลน์ชี้ให้เห็นหลุมขนาดใหญ่ในบริเวณที่สื่อโปแลนด์กล่าวว่าเป็นพื้นที่เพาะปลูก ส่วนอีกรูปเปิดเผยให้มองเห็นเศษชิ้นส่วนอาวุธ

โปแลนด์ กับ ปฏิกิริยาโลกเป็นอย่างไร

เหตุระเบิดคราวนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่บรรดาหัวหน้าโลกกำลังร่วมการประชุมจี 20 ที่เกาะบาหลีของอินโดนีเซีย

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวว่า “ไม่น่าเป็นได้” ที่รัสเซียจะยิงอาวุธลูกนี้ พร้อมเปิดเผยว่าได้โทรศัพท์เสวนากับประธานาธิบดีโปแลนด์แล้ว

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานอ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ผู้ไม่เปิดเผยนามหลายท่านที่กล่าวว่า ข้อมูลในพื้นฐานชี้ว่าอาวุธอาจมาจากระบบคุ้มภัยทางอากาศของยูเครน ที่พากเพียรยิงสกัดอาวุธที่รัสเซียยิงเข้าโจมตี

ในช่วงเวลาที่นายกรัฐมนตรี ริชี ซูแน็ก กล่าวในงานแถลงข่าวที่ประชุมจี 20 ว่า สหราชอาณาจักรแล้วก็ผู้ช่วยเหลือกำลังพากเพียรตรวจตราข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น

แม้กระนั้น บรรดาผู้นำชาติตะวันตกที่ไปร่วมสัมมนาจี 20 ได้ออกคำอธิบายประณาม “การโจมตีด้วยอาวุธที่เหี้ยมโหด” ของรัสเซียต่อเมืองต่างๆทั่วยูเครน

ด้านจีนเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวโยงอยู่ในความสงบเงียบแล้วก็ใช้ความอดทนอดกลั้นต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม

ประธานาธิบดีอาลาร์ เคอริส ของเอสโตเนียบอกกับบีบีซีว่า มองประเด็นนี้เป็นเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ชี้ว่าสงครามคราวนี้จะต้องเลิกอย่างรวดเร็วที่สุด

ประธานาธิบดี เรเจป ทายยิป แอร์โดอัน ของประเทศตุรกีกล่าวว่า ยกย่องคำอธิบายของรัสเซียที่ไม่ยอมรับข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ยิงอาวุธใส่ดินแดนโปแลนด์ แล้วก็เชื่อว่ารัฐบาลรัสเซียไม่มีส่วนเกี่ยวโยงในประเด็นนี้

นายเพกกา ฮาวิสโต รัฐมนตรีต่างถิ่นประเทศฟินแลนด์กล่าวว่า เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องรู้รายละเอียดของเรื่องราวที่เกิดขึ้น แล้วก็จัดแจงประเด็นนี้อย่างเหมาะสม

ในช่วงเวลาที่นางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่าคณะผู้แทนกลุ่ม จี7 แล้วก็นาโต พร้อมให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลโปแลนด์ในการสอบสวนเรื่องนี้

เพราะอะไรเหตุระเบิดคราวนี้ก็เลยเป็นเรื่องใหญ่

เนื่องด้วยโปแลนด์เป็นหนึ่งในสมาชิกของนาโต ก็เลยทำให้กลุ่มพันธมิตรทางด้านการทหารนี้เฝ้าจับตาสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด โดยนักการทูตนาโตได้เรียกสัมมนาเร่งด่วนในกรุงบรัสเซลส์ในวันนี้ (16 พฤศจิกายน) เพื่อประเมินการรับมือกับกรณีที่เกิดขึ้น

นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโตกล่าวว่า ได้เสวนากับประธานาธิบดี ดูดา ของโปแลนด์แล้ว แล้วก็นาโตกำลัง “เฝ้าติดตามสถานการณ์

หลายฝ่ายชี้ว่ากรณีที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้โปแลนด์ขอร้องทางด้านการทหารจากนาโต

นายยาเซก เซียเวียรา หัวหน้าสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติโปแลนด์กล่าวว่า “เรากำลังตรวจตรากรณีที่เกิดขึ้น ซึ่งเราอาจใช้มาตรา 4”

มาตรา 4 ที่เขากำหนดเป็น ตามมาตรา 4 ของนาโต ที่กล่าวว่าชาติสมาชิกสามารถปรึกษาหารือต่อที่ประชุมนาโตถึงข้อกลุ้มใจว่ากรณีที่เกิดขึ้นถือเป็นภัยคุกคามต่อบูรณภาพแห่งดินแดน เอกราชทางด้านการเมือง หรือความมั่นคงของชาติหรือไม่ ซึ่งหากเห็นด้วยว่าเป็นภัยคุกคามจริงก็จะเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 5 ที่ชาติสมาชิกนาโตทั้งหมดจะต้องเข้าร่วมกันคุ้มครองป้องกันชาติสมาชิกที่ถูกโจมตี

นาโตจะทำอะไรบ้าง

เลขาธิการนาโตให้คำมั่นว่า จะตอบโต้การโจมตีครั้งใหญ่ของรัสเซียด้วยการ “ส่งมอบระบบต้านทานอากาศยานขั้นสูงให้ยูเครน” แม้ว่ายูเครนจะไม่ได้เป็นสมาชิกนาโต

“วันนี้ ผมได้ร่วมการประชุมกับกลุ่มที่เกื้อหนุนยูเครน ซึ่งล้วนเป็นผู้ช่วยเหลือของนาโต เพื่อให้คำมั่นว่าจะมอบระบบต่อต้านอากาศยานขั้นสูงให้ยูเครน เพื่อยิงสกัดอาวุธจากรัสเซีย” เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก กล่าว

“แต่หนทางที่ดีที่สุด เพื่อรับมือสถานการณ์นี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต คือ รัสเซียต้องยุติสงคราม”

“เราไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่า นี่เป็นการตั้งใจโจมตีจากรัสเซีย” นายสโตลเทนเบิร์ก ระบุ พร้อมเสริมว่า “แต่ไม่มีข้อกังขาเลยว่า รัสเซียจะต้องรับผิดชอบ เพราะเหตุว่าเรื่องราวนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าเกิดรัสเซียไม่กระหน่ำยิงอาวุธใส่หลายเมืองของยูเครนก่อน เหมือนที่ทำมาหลายคราวแล้ว ตลอดสงครามครั้งนี้

ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา ดร.เจมี เชีย อดีตรองผู้ช่วยเลขาธิการฝ่ายภัยคุกคามความมั่นคงฉุกเฉินของนาโต กล่าวว่า การรับมือของนาโตต่อกรณีที่เกิดขึ้นในโปแลนด์จะเป็นไปอัตโนมัติไม่มากก็น้อย

เขาอธิบายประเด็นนี้ว่า “โปแลนด์สามารถใช้มาตรา 4 เพื่อเรียกสัมมนานักการทูตนาโตได้วันพรุ่งรุ่งเช้า (16 พฤศจิกายน)”

“แม้กระนั้นถึงแม้ว่าโปแลนด์จะไม่ทำแบบนั้น นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต ก็อาจเรียกสัมมนาในทันทีทันใดหากพิจารณาว่าสถานการณ์มีความร้ายแรง” เขากล่าว

ดร.เชีย กล่าวต่อว่า นาโตจะรอดูข้อเท็จจริงทั้งหมดที่โปแลนด์มีเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น “น่าสนใจที่กำลังจะได้รู้ว่าโปแลนด์จะขอให้ประเทศพันธมิตรช่วยเหลืออะไรบ้าง ซึ่งการลงความเห็นหนึ่งเดียวกันเป็นสิ่งที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ แล้วก็ผมแน่ใจว่านาโตจะมอบสิ่งนี้ให้แก่โปแลนด์”

เชอร์วูด ลั่น บทวิจารณ์แมนยูฯ ทำ “โรนัลโด” เสื่อมเสีย คาด “เมสซี” คงนั่งขำอยู่

ทิม เชอร์วูด อดีตผู้จัดการทีมฟุตบอลสเปอร์ส เผย บทสัมภาษณ์วิภาควิจารณ์ แมนยู ทำ โรนัลโด เสื่อมเสียชื่อเสียง คาด “เมสซี” คงกำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่

วันที่ 16 พฤศจิกายน 65 หลังจาก คริสเตียโน โรนัลโด แนวรุกชาวโปรตุเกส ออกมาเปิดเผยแหลกว่า “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังที่ศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ให้สัมภาษณ์แบบไม่ไว้หน้าต้นสังกัด ทั้งปัญหากับ เทน ฮาก และ ราล์ฟ รังนิก อดีตผู้จัดการทีมฟุตบอล, ตำหนิสโมสรว่าไม่พัฒนาจากขั้นแรกที่เคยร่วมงานในปี 2003-2009, การตอบกลับ เวย์น รูนีย์ อดีตเพื่อนร่วมทีมที่ชอบวิภาควิจารณ์เขา และอื่นๆอีกมากมาย

ล่าสุด ทิม เชอร์วูด อดีตผู้จัดการทีม “ไก่เดือยทอง” ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ออกโรงให้ความเห็นเกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ของ คริสเตียโน โรนัลโด โดยมองว่าความประพฤติปฏิบัติดังกล่าวจะทำให้ ลิโอเนล เมสซี ดาวยิงจากปารีส แซงต์ แชร์กแมง ผู้ครอบครองบัลลงดอร์ 7 สมัย หัวเราะเยาะ เนื่องด้วยบทสัมภาษณ์ดังกล่าว ไม่มีประเด็นอะไรแปลกใหม่อะไรเลย แถมยังเป็นเหตุให้ CR7 เสียหายอีกด้วย

ทิม เชอร์วูด เผยออกมาว่า ”ผมไม่คิดว่าการพูดของ โรนัลโด จะมีอะไรแปลกใหม่ ผมไม่เห็นเลย ผมคิดว่าเขาเลือกที่จะให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อด้วยแพลตฟอร์มที่ใหญ่เท่านั้นเอง เขาสามารถเลือกคุยกับ โอปราห์ วินฟรีย์ หรือ เพียร์ส มอร์แกน ก็ได้ และเขาเลือกพูดด้วยภาษาอังกฤษ”

“ผมประหลาดใจที่เขาออกมาพูด ผมคิดว่ามันทำลายภาพลักษณ์ของเขาเอง ผมคิดว่า ลิโอเนล เมสซี คงนั่งอยู่ในแคมป์ที่ กาตาร์ และหัวเราะอยู่ เพราะหากคุณถามว่าใครเป็นนักเตะที่ดีที่สุด ไม่ เมสซี ก็ต้องเป็น โรนัลโด”

ไม่ขอยุ่งด้วย “รังนิก” ปัดตอบปมโดน โรนัลโด จาก แมนยู จวกยับ ลั่น “ไม่ใช่เรื่องของผม”

ราล์ฟ รังนิก อดีตผู้จัดการทีมฟุตบอลรักษาการแมนยูฯ ปัดตอบปมโดน “โรนัลโด” วิภาควิจารณ์ยับ ลั่น “ไม่ใช่เรื่องของผม” ชี้ นั่นคือสิ่งที่ แมนยูฯ จำเป็นต้องจัดการ

หลังจาก คริสเตียโน โรนัลโด แนวรุกชาวโปรตุเกส ออกมาเปิดเผยแหลกว่า “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังที่ศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ให้สัมภาษณ์แบบไม่ไว้หน้าต้นสังกัด ทั้งปัญหากับ เทน ฮาก และ ราล์ฟ รังนิก อดีตผู้จัดการทีมฟุตบอล

ติเตียนสโมสรว่าไม่พัฒนาจากขั้นแรกที่เคยร่วมงานในปี 2003-2009, การตอบกลับ เวย์น รูนีย์ อดีตเพื่อนร่วมทีมที่ชอบวิภาควิจารณ์เขา และอื่นๆอีกมากมาย

ตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ โรนัลโด เผยออกมาว่า “หลังจากปลด โอเล (โอเล กุนนาร์ โซลชาร์) พวกเขา (แมนยูฯ) ดึงผู้อำนวยการกีฬา ราล์ฟ รังนิก เข้ามา ผมว่าเขา ไม่ใช่โค้ชด้วยซ้ำ เขาห่างหายจากการเป็นโค้ชไปนานมาก ผมไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลยและ การแต่งตั้งเขามันเป็นเรื่องน่าแปลกใจมากๆ มันไม่ใช่แค่ผมคนเดียวแต่ยังรวมถึงคนทั้งโลกด้วย”

ปัจจุบัน ราล์ฟ รังนิก อดีตผู้จัดการทีมชั่วครั้งชั่วคราวของแมนยูฯ ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับข้อความสำคัญดังกล่าวเพียงสั้นๆว่า “มันไม่ใช่เรื่องของผมแล้ว ผมคือผู้จัดการทีมชาติออสเตรีย และมันไม่ใช่งานของผมที่จะไปตัดสินคำพูดแบบนั้น มันคืองานของคนที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และผู้สื่อข่าวกีฬา”

หมดแรงเซฟ “ริโอ” ตำนานแมนยูฯ ที่คอยปกป้อง “โรนัลโด” ลั่น “ทุกอย่างมันจบลงแล้ว”

ริโอ เฟอร์ดินานด์ อดีตกองหลังแมนยูฯ ที่คอยออกมาแก้ต่างแทน “โรนัลโด” ออกมาสารภาพว่า ความรักระหว่าง CR7 กับ “ปิศาจแดง” มันจบลงแล้ว

ล่าสุด ริโอ เฟอร์ดินานด์ อดีตปราการหลังแมนยูฯ ที่คอยออกมาสนับสนุน และออกมาแก้ต่างแทน โรนัลโด อยู่หลายที อาทิ ไม่ร่วมทัวร์ปรีฤดูกาลที่เอเชีย

และ เดินออกจากสนามก่อนแข่งขันจบ ได้ออกมายอมรับว่าหลังจากนี้ เขาไม่สามารถที่จะคุ้มครองปกป้อง CR7 ได้อีกต่อไป หลังจาก โรนัลโด เปิดหน้าวิภาควิจารณ์อดีตต้นสังกัดแบบเสียๆหายๆรวมทั้งกล่าวว่าไม่เคารพผู้จัดการทีมอปิ้ง เอริก เทน ฮาก

ริโอ เฟอร์ดินานด์ ให้สัมภาษณ์ผ่าน Vibe with Five โดยระบุว่า “มันจบแล้ว ผมไม่สามารถแก้ต่างให้ โรนัลโด ได้อีกต่อไป ความรักระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ โรนัลโด ที่มีมาตลอดหลายปีได้จบลงแล้ว เขาอยู่ในจุดที่ไม่สามารถกลับไปยังสโมสรได้อีก เอาจริงๆ ถ้าเอาไม่ออกมาให้สัมภาษณ์ ครั้งนี้ ผมคงจะยังปกป้องเขาอยู่ แล้วบอกว่าสโมสรมีหน้าที่ต้องสื่อสารให้ดีกว่านี้ แต่อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสิ่งหนึ่งและนั่นมันก็ทำให้เขาออกจากสโมสรได้”

“ผมเคยอยู่ในห้องแต่งตัวเดียวกับ ฟาน นิสเตลรอย, รอย คีน, เดวิด เบคแฮม และ ยาป สตัม 4 ผู้เล่นที่เคยทำสิ่งที่น้อยกว่าที่เขาทำในครั้งนี้ และทั้ง 4 คนนั้นไม่เคยได้ใส่เสื้อ ยูไนเต็ด อีกเลย ไม่สำคัญเลยว่า โรนัลโด จะพูดอะไรอีกบ้าง แต่คำว่า “ผมไม่เคารพผู้จัดการทีม” คือเหตุผลที่ทำให้เขาต้องออกจากทีม”

“ผมไม่ได้รู้สึกว่าสโมสรอยากให้เขากลับมาและไม่คิดว่าเขาต้องการจะกลับมาด้วย มันก็เท่านั้น และผมคิดว่าทั้งหมดนี้ถูกสร้างเพื่อเรื่องเดียวนั่นก็คือเขาต้องการออกจากสโมสร”

“แพทตี้” เล่าชีวิตหลังแต่งงาน บอกเหตุผลยังไม่พร้อมมีเบบี๋

“แพทตี้ อังศุมาลิน” เล่าชีวิตหลังสมรสกับ “แดน วรเวช” บอกเหตุผลเพราะอะไรยังไม่พร้อมมีเบบี๋

คู่รักคนดัง “แดน – วรเวช ดานุวงศ์” กับ “แพทตี้ – อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา” ถือฤกษ์ดี 2 พฤศจิกายน 2565 จูงมือเข้าพิธีแต่งงานอย่างอบอุ่น หลังคบหาดูใจกันมานานกว่า 13 ปี
โดยช่วงเช้า “แดน – แพทตี้” ได้เข้าพิธีรับน้ำพระพุทธมนต์ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม บรรยากาศเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงครอบครัวและคนสนิทของทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นสักขีพยานรัก ซึ่งหลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้จดทะเบียนสมรสกันเป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่อย่างสมบูรณ์แบบ

พึ่งจะเข้าพิธีสมรสด้วยกันไป เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ก่อนหน้านี้ แพทตี้ อังศุมาลิน เจ้าสาวป้ายแดง ล่าสุดได้มาร่วมงานอีเว้นท์ ก็เลยได้ให้สัมภษณ์ถึงชีวิตหลังสมรส กับนักร้องชายหนุ่ม แดน วรเวช หลังพึ่งจะเปลี่ยนแปลงสถานะเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์ พร้อมด้วยอัปเดตฤกษ์จดทะเบียน รวมทั้งแพลนเตรียมตัวจะมีเบบี๋ด้วยกันเมื่อไร

โดย แพทตี้ เผยว่า “จริงๆ แพทไม่ได้รู้สึกต่างจากเดิมเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ยังอยู่กับคุณแม่ อยู่ที่บ้านอยู่ ยังไม่ได้ย้ายไปไหน ส่วนโมเมนต์เข้าไปรับน้ำสังข์พระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราช จริงๆ แฮปปี้มากค่ะ ดีใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิต มีโอกาสได้เข้าเฝ้าท่าน และได้รับน้ำมนต์มาด้วย ก็มีถวายสังฆทาน แล้วก็ทำบุญกัน มีครอบครัวเป็นหลัก เพราะทางโบสถ์เขาจำกัดให้เข้าได้ 20 คน เราก็ต้องคัดมาส่วนหนึ่ง จริงๆ มีญาติอีกหลายคนที่อยากมาด้วย แต่ก็อาจจะมาไม่ได้ครบทั้งหมดค่ะ”

หลายๆคนสงสัยเพราะอะไรถึงไม่มีงานฉลองสมรส ?

“หลักๆ เป็นการทำบุญมากกว่าค่ะ แต่จะมีกินเลี้ยงทั้งสองบ้าน ซึ่งอันนั้นจัดที่โรงแรม กินภายในกันเอง จัดไปเรียบร้อยแล้ว กินข้าวกันแค่นั้นเลย เน้นครอบครัว ส่วนตัวแพทญาติเยอะมากๆ แค่นี้ก็แน่นประมาณหนึ่งแล้ว จริงๆ วันนั้นเพื่อนๆ ก็มานะคะ ที่ไปทำบุญ”

งานเรียบง่ายเลย ?

“กินข้าวกันแค่นั้นเลยค่ะ คนละวันกันค่ะ”

ได้จดทะเบียนหรือยัง ?

“ยังค่ะ(หัวเราะ) ยังไม่ได้ดูฤกษ์ อาจจะต้องดู ดูเวลาอีกทีหนึ่ง แล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน ถามว่าชีวิตมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ชิลมากเลยค่ะ สำหรับเรื่องความตั้งใจในการจัดงาน เดิมทีแพทกับพี่แดน คือมีความคิดคร่าวๆ อยู่แล้ว ว่าเราอยากจะอะไรก็ได้ ที่สบายที่สุด เบาที่สุด เราไม่อยากเครียด แล้วด้วยระยะเวลาด้วย ที่มันกระชั้นมากๆ เรารู้สึกว่าขอทำอะไรก็ได้ ที่เราสบายตัว สบายใจ แล้วก็ชิลกับครอบครัวเราก่อน”

มิได้มีเป้าหมายเหมือนผู้หญิงทั่วๆไป ที่อยากใส่ชุดแต่งงานหลายๆชุด ?

“ไม่ค่ะ แต่จริงๆ แพทเคยบอกพี่แดนไว้ ว่าถ้าแพทไม่ได้อยู่ตรงนี้ คงคุยกันแล้วก็แต่งเลย ง่ายๆ อาจจะไม่ต้องมีงานอะไรเลยด้วยซ้ำ โชคดีที่พี่แดนกับหนูเหมือนมาในทิศทางที่คล้ายกัน ก็ค่อนข้างชิล แล้วก็อยากอะไรก็ได้ที่สบายที่สุด เรียบง่าย ทำอะไรที่เราคล่องตัวมากๆ”

สามีดูแลดีขึ้นไหม ?

“ดูแลดีเหมือนเดิม(หัวเราะ) ถามว่าคุ้นกับคำว่าสามีหรือยัง ก็ยังไม่คุ้นเท่าไหร่ เพราะหลังจากวันนั้นมา ยังคิดอยู่เลยว่า เอ๊ะ เราเป็นอันนี้แล้วใช่ไหม แต่ในมุมแพท แพทยังรู้สึกว่าทุกอย่างเหมือนเดิม อาจจะด้วยว่าเราคบกันมานานแล้วค่ะ ส่วนเรื่องจดทะเบียนแล้วจะเปลี่ยนนามสกุลมั้ย แพทยังไม่ได้คิดถึงตรงนั้นเลย”

“แต่จริงๆ แพทอยากใช้นามสกุลตัวเองนะ เพราะด้วยความที่คุณแม่ เอาชื่อหนูคนเดียวในบ้าน ในการตั้งนามสกุล แล้วทุกคนคือเปลี่ยนชื่อตามนามสกุลหมดเลย หนูก็เลยรู้สึกว่า เอ๊ะ ชื่อเราเป็นชื่อหลักในการตั้งนามสกุล ก็ยังอยากใช้นามสกุลนี้ ที่คุณแม่ตั้งใจอยู่ค่ะ แต่ถ้าใช้นามสกุลพี่แดนมาต่อกัน มันก็จะยาวมากเลย สิรภัทรศักดิ์เมธา ต่อด้วย ดานุวงศ์ โห เอาไว้ก่อนแล้วกัน ขอคิดก่อนแล้วกันค่ะ”

เห็นรีวิวความคืบหน้าของเรือนหอกันด้วย ?

“ได้สัก 80 เปอร์เซ็นต์แล้วค่ะ ถามว่าพร้อมเข้าอยู่เมื่อไหร่ จริงๆ มันก็เลยมาเรื่อยๆ เลยยังไม่กล้าบอกว่าเมื่อไหร่แน่ มีรายละเอียดเยอะในหลายๆ ฝ่าย ทั้งฝ่ายโครงการเอง ฝ่ายเฟอร์นิเจอร์เอง เดตไลน์หลายรอบแล้ว ก็เลยไม่กล้าเดตไลน์แล้ว ตอนนี้ยังอยู่ที่เดิม ส่วนพี่แดนอยู่คอนโดค่ะ ส่วนประเด็นที่เราเถียงกัน จนต้องทำคลิปอธิบายอีกรอบ คือมีหลายๆ คอนเมนต์ ที่ค่อนข้างเซนซิทีฟกับพี่แดนเยอะ เราเลยรู้สึกว่า งั้นเราออกมาพูดเคลียร์ในบางส่วนดีกว่า เพราะคลิปนั้นตอนแรกตั้งใจจะคุยเล่นเป็นดีเบตกัน แบบถกเถียงกันขำๆ เพราะมันอยู่ในช่วงโครงสร้างบ้าน แต่สุดท้ายเหมือนเป็นประเด็นนิดนึง แต่เพื่อความสบายใจของทุกคน เราก็ออกมาชี้แจง ว่าคลิปนั้นเราถ่ายไปเมื่อนานแล้ว ตอนนี้มีการปรับเปลี่ยนมาเยอะ”

ก่อนหน้านี้ แดน และ แพทตี้ ก็ได้มีโอกาสพาแฟนคลับไปเปิดบ้านที่ทั้งคู่ตั้งใจสร้างไว้เป็นเรือนหอให้ได้ชมกัน ผ่าน DanPattie พร้อมรายละเอียดต่าง ๆ เป็นครั้งแรก พร้อมเผยว่า บ้านตั้งอยู่แถวสายไหม และได้ทำการดูฮวงจุ้ยไว้ตั้งแต่ก่อนก่อสร้าง พร้อมกับใช้คอนเซ็ปต์การตกแต่งคือ โล่ง โปร่ง สบาย ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และทั้งหมดก็เกิดจากการตัดสินใจร่วมกันของทั้งคู่

กลายเป็นว่าคนคิดว่าทะเลาะกัน เหมือนกับว่าแดนบังคับเรา ?

“จริงๆ แล้วไม่ได้มีอะไรเลยค่ะ ถ้าคนที่ดูคลิปจริงๆ จะรู้ว่าเป็นไปตามปกติ เวลาพี่แดนกับแพทถ่ายคลิปในช่องจะมีการถูกเถียงกันบ้าง ดูเป็นสีสันของคลิปไม่ได้มีเจตนาอะไรอย่างอื่นเลย”

แดนถึงกับขนาดกล่าวว่าจะไม่มีการดีเบสซึ่งๆหน้ากล้องแล้ว ?

“พี่แดนบอกว่าไม่เอาแล้ว เพราะว่าบางคอมเมนต์ค่อนข้างที่จะเซ้นซิทีฟนิดนึง อาจจะใช้คำพูดดูแรงไปนิดนึง พี่แดนเขารับตรงนี้เร็วอยู่แล้ว เรื่องคำพูดของคน ถามว่าคอมเมนต์ไหนที่ทำให้ไม่สบายใจ แพทไม่ขอระบุเป็นคอมเมนต์หมายถึงรวมๆ ที่หลายคนมีการพูดกันในเชิงนั้น เราแค่ออกมาอธิบาย แต่ว่าไม่ต้องห่วงค่ะ เราสองคนแฮปปี้ไม่มีอะไร เพราะเจตนาเราไม่ได้มีอะไร เราแค่ออกมาชี้แจงเท่านั้นเองค่ะ”

เพจทวงคืนแพทตี้บอกว่าเขายังมีความหวังอีกครั้ง ?

“เห็นแล้วดีค่ะ สู้(หัวเราะ) แอดมินแอบส่งไดเร็กมาหาหน่อยนะ อยากรู้จักเหมือนกัน แต่แพทชอบนะรู้สึกว่าอย่างน้อยที่ตรงนี้สร้างสีสันให้กับทุกคน เพราะหลายคนที่เข้ามาบอกว่ารออ่านคอมเมนต์เลย รู้สึกแฮปปี้ในแฟนบอยของหนู ทำไมทุกคนน่ารักอย่างนี้ ทุกคนน่ารักจริงๆ ใช้คำพูดไม่มีหยาบคายเลยเขาน่ารักมากๆ พี่แดนก็เข้าไปดูด้วย เขาจะเข้าไปส่องอย่างเดียวค่ะ”

เรียกได้ว่าปิดตำนานทวงคืนอย่างแท้จริง หลังจาก แดน วรเวช และ แพทตี้ อังศุมาลิน จูงมือเข้าประตูวิวาห์ไปเมื่อไม่นานมานี้

เรื่องแพลนจะมีน้องเมื่อไร ?

“ยังไม่ได้แพลนขนาดนั้น คิดว่าอยากจะเที่ยวก่อนนิดนึง ทุกคนสามารถติดตามได้ในช่อง YouTube แพทตี้นะคะ ส่วนฮันนีมูนจะไปช่วงเดือนธันวานี้ ไปญี่ปุ่นค่ะ ตั้งแต่โควิดมาไม่ได้ไปต่างประเทศมาสองปี ประเทศแรกที่อยากไปก็คือญี่ปุ่นไปง่ายๆ แพทกับพี่แดนไปญี่ปุ่นเยอะมาก แต่รอบนี้อยากไปฟีลแบบไปเล่นสกีกัน เรื่องจะมีน้องกลับมามั้ย เดี๋ยวก่อนค่ะ อยู่ด้วยกันก่อน ไม่ได้แพลนว่าจะมีเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับเวลาว่าเราพร้อมเมื่อไหร่ แพทว่าไปถามพี่แดนอีกทีนึง เขาไม่ซีเรียส เพราะชอบท่องเที่ยวตอนนี้เราคิดเหมือนกัน”

เรื่องแหวนสมรสทำเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ?

“ใช่ค่ะ วันนี้จะใส่มา พี่แดนเป็นคนพาไปทำ เขารู้สึกว่าถ้าหนูใส่ตลอดยาวๆ ก็อยากให้เป็นวงที่เราแฮปปี้ ถ้าชอบดีไซน์ไหนแพทเลือกเลย ถามว่าตั้งใจใส่ติดนิ้วไว้ตลอดมั้ย ถอดค่ะ ที่ใส่เพราะว่าตั้งใจใส่มางานเลย ปกติแพทไม่ค่อยกล้าใส่ รู้สึกว่ามันเตะตาคนไปนิดนึง พี่แดนมีทำวงเล็กๆ ติดนิ้วธรรมดาไว้ให้ใส่ เผื่อชีวิตประจำวัน ก็จะใส่วงนั้นเป็นหลัก แต่บางวันก็ไม่ได้ใส่ พี่แดนเขาก็ไม่ได้น้อยใจนะคะ”

ผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับพิธีแต่งงานอย่างเรียบง่ายของคู่รักคนดัง “แดน วรเวช” และ “แพทตี้ อังศุมาลิน” ที่จูงมือเข้าเฝ้า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เข้ารับประทานน้ำพระพุทธมนต์ในพิธีสมรส เพื่อความเป็นสิริมงคลแห่งชีวิตคู่ ในช่วงเช้าวันที่ 2 พ.ย.2565 โดยมีครอบครัวทั้งสองฝ่ายและเพื่อนสนิทร่วมพิธีและเป็นสักขีพยานรักของทั้งคู่ ถือว่าเป็นงานแต่งที่เรียบง่ายสมความตั้งใจทั้งคู่ โดยทั้งแดนและแพทตี้ได้โพสต์รูปภาพเก็บตกโมเมนต์ต่าง ๆ จากงานแต่ง เรียกว่า เรียบง่าย อบอุ่น แต่เต็มอิ่มไปด้วยความรักของทุกคน โดยแดนและแพทตี้ยังเปิดใจขอบคุณทุกคำอวยพรที่ส่งมาให้ทุกช่องทางอีกด้วย